top of page

โรคภูมิแพ้ เมื่อเป็นแล้ว ควรดูแลตนเองอย่างไร?

อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยในช่วงนี้ทั้งอยู่ๆก็หนาว อยู่ๆอากาศก็ร้อนขึ้นมา คงทำให้คนเป็นโรคภูมิแพ้หนีอาการที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย ไม่ว่าจะอาการจาม คัดจมูก น้ำมูกไหล หรือผดผื่นที่ขึ้นมาแบบไม่มีพัก เพิ่งรักษาหายก็กลับมาเป็นอีก อย่างที่คนเป็นโรคนี้ทราบกันดีโดยทั่วไปโรคนี้จะมีระยะการดำเนินโรคและการรักษาที่ใช้เวลานาน

โรคภูมิแพ้มีทั้งชนิดที่รักษาให้หายขาดได้ ซึ่งทำให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติ กับชนิดที่รักษาให้อาการลดลงได้ สำหรับอาการที่เป็นแบบเรื้อรังจำเป็นต้องได้รับยาควบคุมอาการอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างมากในการหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่กระตุ้นให้เกิดอาการ เพราะบางกลุ่มโรคภูมิแพ้มีความอันตรายที่สามารถนำไปสู่ภาวะการทำงานที่ผิดปกติอย่างรุนแรงของระบบต่างๆ และเป็นต้นเหตุของการเสียชีวิตได้....


กลุ่มโรคภูมิแพ้ที่พบบ่อยในคนไทย


1.กลุ่มภูมิแพ้อากาศ

คือภาวะที่เกิดการแพ้สารก่อภูมิแพ้ที่อยู่ในอากาศ สามารถเกิดได้กับทุกเพศ ทุกวัย และมักกำเริบในช่วงที่ร่างกายอ่อนแอ หรือมีภูมิต้านทานต่ำ กลุ่มภูมิแพ้อากาศมักพบได้ในเด็กตั้งแต่อายุประมาณ 2 ปี และสามารถเป็นได้ไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ อาการที่พบส่วนใหญ่จะคัดจมูก จาม มีน้ำมูก โดยการมีน้ำมูกในบางคนพบว่าเป็นการมีน้ำมูกไหลลงคอ ทำให้เกิดเสียงแหบตามมา หรือในบางรายพบว่ามีน้ำมูกที่ค้างในโพรงจมูก ทำให้เกิดเลือดกำเดา หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมจะเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้ เช่น ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ วิธีป้องกัน

  • หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นละออง ควันรถยนต์ ควันบุหรี่ ควันธูป กลิ่นน้ำหอมแรงๆ สารเคมีต่างๆ เพื่อไม่ให้อาการภูมิแพ้กำเริบ

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที อาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง จะให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง และทำให้อาการโรคภูมิแพ้ค่อยๆ ดีขึ้นด้วย

  • ดูแลความสะอาดภายในบ้าน ควรเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และเช็ดทำความสะอาดบริเวณต่างๆ 3- 4 ครั้ง/สัปดาห์ เพื่อลดการกักเก็บฝุ่น

  • ให้ทานอาหารที่มีประโยชน์โดยเฉพาะโปรตีน ผัก และผลไม้ ก็จะช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายได้ ถือเป็นการดูแลสุขภาพเบื้องต้น

  • พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีการซ่อมแซม ฟื้นฟู และปรับสมดุล

  • พบแพทย์เฉพาะทาง เพื่อปรึกษาแพทย์ใช้ยาตามที่แพทย์วินิจฉัย และปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด

2.กลุ่มภูมิแพ้ผิวหนัง

ได้แก่ ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง มักพบบ่อยในเด็กเล็กอายุตั้งแต่ 1-2 เดือน จนถึงเด็กโต มักมีอาการแสดงเป็นผื่นแห้งแดง คันตามบริเวณผิวหนัง มีตำแหน่งจำเพาะในการเกิด คือ บริเวณแก้ม บริเวณข้อพับ โดยการเกิดภูมิแพ้ในกลุ่มนี้มักจะมีความสัมพันธ์กับกลุ่มภูมิแพ้อาหาร ซึ่งควรได้รับการตรวจวินิจฉัยให้ชัดเจน เพราะอาจเกิดจากการแพ้อาหารจริง หรืออาจเป็นเพียงอาการแสดงจากการได้รับกระตุ้นจากอาหารเท่านั้น


วิธีป้องกัน

  • การทาโลชั่นที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหนัง ลดอาการผิวแห้งที่ทำให้เกิดอาการคันและแดง หลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น เช่น ไม่ใช้น้ำหอม ลดการอาบน้ำอุ่น กรณีเป็นผื่นแพ้ที่มีความสัมพันธ์กับอาหาร ควรหลีกเลี่ยงอาหารชนิดนั้นๆ

  • หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ และกลุ่มมลภาวะ เช่น ควันรถ ควันบุหรี่ ควันธูป ควันจากการประกอบอาหาร และฝุ่น PM 2.5 เป็นต้น ร่วมกับการใช้ยาในการควบคุมอาการตามระบบในร่ากายที่ผู้ป่วยเป็น หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ


3.กลุ่มภูมิแพ้อาหาร

เป็นกลุ่มโรคที่พบบ่อยในผู้ป่วยเด็ก ซึ่งสารก่อภูมิแพ้อาหารที่พบบ่อย ได้แก่ แป้งสาลี ไข่ขาว แป้งสาลี กรณีเด็กโตหรือผู้ใหญ่ สารก่อภูมิแพ้อาหารที่พบบ่อยจะเป็นกลุ่มอาหารทะเล โดยจะมีอาการที่แสดงได้หลายจุด ไม่ว่าจะเป็น ท้องอืดจุกเสียด มีอาการเรอหรือผายลม อาการท้องผูก การมีลักษณะของกลุ่มสิวอักเสบหรือการอักเสบใต้ชั้นผิวหนังตามจุดต่างๆของร่างกาย เช่นใบหน้า ตามตัว แขนขา อาการคันคอไม่ทราบสาเหตุ


วิธีป้องกัน

#สาระน่ารู้จากไลฟ์บาลานซ์เมธโธดอลโลจี

#โรคภูมิแพ้

#โรคภูมิแพ้อาหารแฝงคืออะไร

#ลักษณะอาการของภูมิแพ้อาหารแฝง

#ภูมิแพ้อาหารแฝง #ตรวจการแพ้อาหาร

#โรคภูมิแพ้ #ตรวจภูมิแพ้อาหาร

#แพ้อาหาร #ภูมิแพ้อาหารแบบเฉียบพลัน

#ภูมิแพ้ผิวหนัง #ภูมิแพ้อากาศ


สนใจตรวจภูมิแพ้อาหารติดต่อ "ไลฟ์ บาลานซ์ เมธโธดอลโลจี"

Tel: 02-114-7635






Comments


Featured Posts
bottom of page